ภาษีซื้อ ภาษีขาย คืออะไร? วิธีคำนวณและยื่น ภ.พ.30
ทำความเข้าใจเรื่อง เรื่องภาษีซื้อ-ภาษีขาย คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร การคำนวณ VAT และการยื่น ภพ30 สำหรับผู้ประกอบการ
Read Moreในปัจจุบัน หลายคนผันตัวมาขายของออนไลน์กันมากขึ้น ทั้งความสะดวก ยืดหยุ่นต่อการทำงาน บางคนจับงานนี้เป็นงานเสริม หรือหากทำได้ดีก็จะกลายมาเป็นงานประจำ ทว่าสิ่งที่คนขายของออนไลน์หลายคนไม่ได้คำนึงถึงนั้น คือการเสียภาษี ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเสีย หรือไม่ได้สนใจ กว่าจะมารู้อีกทีก็สายไป ถูกสรรพากรส่งจดหมายถึงบ้านและโดนภาษีย้อนหลัง หมดเนื้อหมดตัวกันไปเลยก็มี
วันนี้ เราจึงมีความรู้แบบจัดเต็ม สำหรับคนขายของออนไลน์มาฝากกัน เพื่อที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทุกคน จะได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่โดนตรวจสอบจากกรมสรรพากร
สิ่งที่คนขายของออนไลน์ ต้องให้ความใส่ใจภาษี 2 แบบ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยแต่ละอย่างมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
สำหรับคนที่ขายของออนไลน์ จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่การคำนวณนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ เงินได้สุทธิ และ เงินได้พึงประเมิน หากแบบไหนเสียภาษีมากกว่า ต้องใช้วิธีการคำนวณแบบนั้น
วิธีคำนวณรายได้พึงประเมิน : รายได้ทั้งหมดก่อนหักค่าใช้จ่าย x 0.5% = ภาษี
(วิธีนี้ใช้เฉพาะเมื่อรายได้เกิน 1 ล้านบาท หากรายได้ไม่ถึง ไม่ต้องคำนวณด้วยวิธีนี้)
วิธีคำนวณรายได้สุทธิ : รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
จากนั้นนำ เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องเสีย
ในขั้นตอนการคำนวณรายได้สุทธิ ในเรื่องการหักค่าใช้จ่ายสำหรับคนขายของออนไลน์นั้น ผู้ประกอบการสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้ และในส่วนของค่าลดหย่อนนั้น สามารถศึกษาได้จาก ที่นี่
อย่างไรก็ตาม หากมีการขายของออนไลน์ แต่จดทะเบียนในนามนิติบุคคล (บริษัท, ห้างหุ้นส่วน) จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทน
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่จำกัดแค่ว่าต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นจึงจะจดได้ แต่บุคคลธรรมดาก็สามารถจดภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน โดยใช้เกณฑ์คือ หากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องจดทะเบียนภายใน 30 วัน ยกเว้นในกรณีที่ว่า รายได้นั้นคือรายที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การสอบบัญชี การว่าความ การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ในกรณีที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ มีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ยอมจด VAT อาจจะต้องระวังโทษดังนี้
พื้นฐานของการเสียภาษี ไม่ว่าจะแบบใด เราต้องรู้ 3 อย่างคือ รายได้ ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน โดยแต่ละอย่าง เราสามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้
รายได้ คือ รายได้ตลอดทั้งปีโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ออก ซึ่งในกรณีของการขายของออนไลน์ หมายถึงรายได้ทุกบาทที่เข้ามายังบัญชีธุรกิจของเรา โดยไม่มีการหักต้นทุน ส่วนลด ภาษีออกแม้แต่น้อย ตัวอย่างเช่น นางสมจิตขายของออนไลน์ มีเงินเข้าบัญชีทั้งหมดทั้งปี 2,000,000 บาท แต่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด 1,500,000 บาท เมื่อไปยื่นภาษี สรรพากรจะไม่สนว่าต้นทุนของนางสมจิตมีเท่าไร แต่จะสนใจแค่ 2,000,000 บาท เท่านั้น
ค่าใช้จ่าย คือต้นทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่เราได้ใช้จ่ายเกี่ยวกับธุรกิจ ตั้งแต่ต้นทุนใหญ่ๆ อย่างค่าของ ค่าขนส่ง ค่าจ้างพนักงาน ค่ากล่องพัสดุ ค่าโฆษณา ไปจนถึงต้นทุนแฝงอย่างค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์สินค้า ค่าน้ำค่าไฟ เป็นต้น
ค่าลดหย่อน คือ รายการค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้นำมาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษี เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ กองทุน RMF หรือค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ
เมื่อเรารู้แล้วว่ารายได้ในที่นี้คืออะไร สิ่งที่ต้องรู้ต่อมาคือ การขายของออนไลน์ จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8 หรือที่เรียกว่า เงินได้มาตรา 40(8) โดยที่ส่วนมาก การขายของออนไลน์จะตกอยู่ในประเภทการประกอบกิจการแบบซื้อมาขายไป การหักค่าใช้จ่ายจะสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
สิ่งที่ต้องระวังให้มากคือ การทำงานออนไลน์ ไม่ใช่ว่าจะถูกปัดไปเป็นรายได้ประเภทที่ 8 ทั้งหมด และไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ยกตัวอย่างเช่น หากเราเป็นยูทูบเบอร์ และมีรายได้จากแพลตฟอร์มปีละ 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้เงินได้จากการเป็นยูทูบเบอร์จะจัดอยู่ในรายได้ประเภทที่ 8 แต่ไม่เข้าข่าย 43 ประเภทที่สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ได้ ดังนั้นเราจะต้องยื่นค่าใช้จ่ายตามจริง แต่หากเราไม่มีการทำบัญชีเพื่อชี้แจงว่า การทำงานเป็นยูทูบเบอร์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะทำให้เราไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ และต้องเสียภาษีมากเกินจำเป็น
การหักค่าใช้จ่ายสำหรับการขายของออนไลน์นั้น สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% และหักค่าใช้จ่ายตามจริง โดยแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียดังนี้
การหักค่าใช้จ่ายแบบนี้ คือการที่สรรพากรจะเหมาว่า จากรายได้ทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนที่เรามีนั้น เรามีต้นทุนค่าใช้จ่าย 60% การหักแบบนี้เราไม่ต้องแจกแจงเอกสาร คำนวณได้ง่าย สะดวก แต่มีข้อเสียคือ การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากเรามีค่าใช้จ่ายจริง 80% แต่ไปเลือกหักแบบเหมา 60% สรรพากรก็จะมองว่าเรามีต้นทุนแค่ 60% เท่านั้น และเป็นเหตุให้เเราต้องเสียภาษีมากกว่าที่ควรจะเป็น
การหักค่าใช้จ่ายแบบนี้ คือการที่เราต้องแจกแจงกับสรรพากรให้ได้ว่า ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจของเรามีอะไรบ้าง และต้องมีหลักฐานเพื่อสนับสนุน ซึ่งข้อเสียคือ เราต้องมีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีการเก็บหลักฐาน ต้องระบุได้ว่าค่าต้นทุนสินค้ามีเท่าไร สินค้าคงเหลือจากปีก่อน สินค้าที่เหลือระหว่างปี และสินค้าที่เหลือสิ้นปี หากสรรพากรเรียกตรวจจะต้องมีหลักฐานชี้แจงให้เห็นชัด แต่มีข้อดีคือ ทุกอย่างสามารถสะท้อนภาพของต้นทุนที่แท้จริง หากเรามีค่าใช้จ่าย 80% เราก็สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เต็มที่ 80% ทำให้เราเสียภาษีในอัตราที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายตามจริง ต้องเข้าเกณฑ์คือ
รายได้ตามกฎหมายนั้นจะมีทั้งหมด 8 ประเภท และการมีรายได้ในแต่ละประเภท ก็จะไปมีผลต่อการหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน รวมไปถึงระยะเวลาการยื่นภาษีที่ต่างกัน รายได้บางอย่างต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปลายปี แต่บางอย่างต้องยื่นภาษีครึ่งปี
ตัวอย่าง
นางจตุพรเป็นพนักงานบริษัท เงินเดือนเฉลี่ย 20,000 บาท และขายของออนไลน์ช่วงหลังเลิกงาน มีรายได้เดือนละ 100,000 บาท ในกรณีนี้เท่ากับว่า เงินเดือนจากการเป็นพนักงานบริษัท จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 1 สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนรายได้จากการขายของออนไลน์ จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8 สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักตามจริง และรายได้ส่วนนี้ถือว่าเป็นรายได้พึงประเมินเกิน 60,000 บาท ต้องเสียภาษีครึ่งปีด้วย
หากพ่อค้าแม่ค้ามีการขายของออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee Lazada TikTok Shop เว็บไซต์ อินสตาแกรม ไลน์ หรือแม้กระทั่งหน้าร้าน ต้องนำรายได้จากทุกช่องทางมารวมกันแล้วยื่นภาษีรวมกัน อย่างไรก็ตาม จากการขายสินค้าออนไลน์จะมีหลายอย่างที่เป็นต้นทุน และหลายอย่างที่ไม่ใช่ต้นทุน เช่น ค่าสินค้า ส่วนลดจากร้านค้า ตรงนี้สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่หากเป็นส่วนลดจากแพลตฟอร์ม ค่าส่งที่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม ตรงนี้เราจะนำไปหักค่าใช้จ่ายไม่ได้
ตัวอย่าง
นายเอกพันธ์ขายลิปสติกราคา 200 บาท ทางร้านให้ส่วนลด 10 บาท และแพลตฟอร์มให้ส่วนลด 40 บาท ทำให้ลูกค้าจ่ายค่าลิปสติกเพียง 150 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ต้นทุนสินค้าของนายเอกพันธ์ 200-10 (ส่วนลด) = 190 บาท ส่วนส่วนลด 40 บาทจากแพลตฟอร์มนั้น นายเอกพันธ์ไม่สามารถเอามาหักได้
ติดตามเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ eTax ได้ที่
Blog: www.etaxgo.com/blog
Facebook: https://www.facebook.com/eTaxGo.official
Tags
ขายของออนไลน์
ทำความเข้าใจเรื่อง เรื่องภาษีซื้อ-ภาษีขาย คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร การคำนวณ VAT และการยื่น ภพ30 สำหรับผู้ประกอบการ
Read Moreใบกำกับภาษีเต็มรูปและใบกำกับภาษีอย่างย่อ แตกต่างกันอย่างไร ออกแบบไหนถึงถูกต้อง ออกย้อนหลังได้ไหม ต่างอย่างไรกับใบเสร็จ อ่านสรุปครบที่นี่
Read Moreเลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร วิธีการขอ เอกสารที่ต้องใช้ สำหรับทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ความแตกต่างกับเลขประจำตัวประชาชน และเลขทะเบียนนิติบุคคล
Read More