หากใครที่เคยไปซื้อของตามร้านค้าขนาดบางแห่ง และมีการขอ “บิลแวท” หรือใบกำกับภาษี ทางร้านจะขอบวกเพิ่ม 7% ซึ่งเงินนี้ไม่ใช่เงินที่เข้าร้าน แต่เป็นเงินภาษีที่ต้องนำส่งสรรพากร และหากซื้อสินค้าราคาสูง การที่ถูกบวกเพิ่มเข้า 7% ก็อาจจะทำให้หลายคนลังเล และยอมให้ออกบิลเงินสดแทน
แต่แท้ที่จริงแล้ว เราได้ประหยัดเงินไป 7% หรือไม่ และการใช้บิลเงินสด หรือ บิลแวท แตกต่างกันอย่างไร เราจะมาไขคำตอบในเรื่องนี้กัน
บิลเงินสด และ บิลแวท (ใบกำกับภาษี) ต่างกันตรงไหน
หากจะว่ากันตามกฎหมายแล้ว เมื่อเราซื้อสินค้า จะต้องมีหลักฐานที่ระบุว่า การซื้อขายนั้นเสร็จสมบูรณ์ มีการส่งมอบสินค้าและผู้รับเงินได้รับเงินเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งหากเป็นธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ ก็อาจจะออกหลักฐานนี้ในรูปแบบของใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี แต่หากเป็นธุรกิจที่ขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ค้าทั่วไป เมื่อมีการขอหลักฐานการซื้อขาย ก็อาจจะออกเป็น บิลเงินสด แทน
แม้ว่า บิลเงินสด และบิลแวท หรือใบกำกับภาษี จะเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่ามีการซื้อขายและรับเงินจริง แต่ความแตกต่างของเอกสาร 2 อย่างนี้ มีดังต่อไปนี้
| | |
|---|
| รายได้ทั้งปีต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท | รายได้ทั้งปีมากกว่า 1.8 ล้านบาท |
| ใช้เป็นหลักฐานว่ามีการรับชำระเงินจากลูกค้า | ใช้เป็นหลักฐานว่ามีการรับชำระเงินจากลูกค้า และเป็นหลักฐานว่ามีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าเพื่อนำส่งให้กรมสรรพากร |
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม | ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม | ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม |
| นำไปหักภาษีซื้อ – ภาษีขายไม่ได้ และหากออกเอกสารไม่ถูก จะนำไปลงรายจ่ายทางธุรกิจไม่ได้ | นำไปหักภาษีซื้อ – ภาษีขายได้ และนำไปลงรายจ่ายทางธุรกิจ ช่วยประหยัดภาษีนิติบุคคลได้ด้วย |
| | ออกด้วยเครื่อง และมีรายละเอียดครบถ้วนตามที่กรมสรรพากรกำหนด |
| น่าเชื่อถือต่ำ เพราะใครจะเขียนอะไรก็ได้ | |
| ร้านค้าทั่วไปที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม | ร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทุกแห่ง |
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับ บิลเงินสด และ บิลแวท (ใบกำกับภาษี)
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับบิลเงินสดและใบกำกับภาษี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล จะมีที่เกี่ยวข้องคือ คือ ภาษีเงินได้, ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีแต่ละแบบมีข้อแตกต่างกันดังนี้
- ภาษีเงินได้ : ภาษีนี้เป็นภาษีที่เกี่ยวข้องทางตรงกับรายได้ของบุคคลหรือนิติบุคคล โดยไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากต้องการนำหลักฐานมาหักค่าใช้จ่าย หักภาษี จะต้องมีการขอหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้น และชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือใบเสร็จรับเงิน แต่หากธุรกิจนั้นมีการจด Vat จะต้องมีการขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ หรือ บิลแวท แทน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม : คือภาษีที่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat และเมื่อขายสินค้าแล้ว จะต้องนำภาษีมูลค่าเพิ่มบวกเข้าไปในสินค้า และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กรมสรรพากรในแต่ละเดือน และเมื่อมีการขายสินค้า ผู้ขายสินค้าจะต้องออกใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้อสินค้า โดยอาจจะเป็นการออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ หรือใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบก็ได้
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจะออกใบกำกับภาษีได้ ก็ต่อเมื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น หากธุรกิจรายได้ไม่ถึง หรือรายได้ถึงแต่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะไม่สามารถออกใบกำกับภาษีได้
ทั้งนี้ การออกบิลเงินสดนั้น แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับภาษีเลย เพราะบิลเงินสดมีลักษณะคล้ายกับใบเสร็จ ที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการซื้อขายสินค้ากันจริง แต่บิลเงินสดใครจะเขียนอย่างไรก็ได้ ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่มีภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สำหรับใบกำกับภาษีนั้น เป็นเอกสารที่นอกจากจะยืนยันถึงการซื้อขายแล้ว ยังแจกแจงให้เห็นว่ามีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำส่งกรมสรรพากร เอกสารนั้นมีความน่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับมากกว่า
ในขณะเดียวกัน บิลเงินสดเอง สามารถนำไปหักเป็นรายจ่ายได้ (แต่ไม่สามารถนำไปหักภาษีซื้อ ภาษีขายได้) หากมีการระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างสมบูรณ์
บิลเงินสด ใช้เป็นรายจ่ายทางธุรกิจได้หรือไม่
บิลเงินสด คือเอกสารที่แสดงว่าผู้ขายได้รับเงินมาแล้วครบถ้วนจากผู้ซื้อ การซื้อขายเกิดขึ้นสมบูรณ์ มีลักษณะคล้ายใบเสร็จรับเงินแต่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า ซึ่งตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 65 (18) ระบุชัดเจนว่า รายจ่ายที่ไม่สามารถระบุผู้รับได้ ไม่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในเชิงธุรกิจได้ ดังนั้น หากบิลเงินสดไม่ระบุข้อมูลอย่างครบถ้วน ก็จะไม่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายทางธุรกิจได้
โดยบิลเงินสดที่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายทางธุรกิจได้ (แต่ไม่สามารถนำมาคิดเป็นรายจ่ายทางภาษีได้) จะต้องประกอบด้วยรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขาย
- ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อ
- วันที่ซื้อ
- จำนวนที่ซื้อ / รายละเอียดของสินค้าที่ซื้อ / หน่วยที่ซื้อ / จำนวนเงิน
- ลายมือชื่อของผู้รับเงิน
ซื้อทั้งที ควรขอบิลเงินสดหรือบิลแวท
ในบางครั้ง เมื่อเราไปซื้อสินค้าตามร้านค้าบางแห่ง หากมีการขอใบกำกับภาษี หรือ บิลแวท ร้านค้าอาจจะขอบวกเงินเพิ่ม 7% แต่หากไม่ขอใบกำกับภาษี จะไม่มีการบวก 7% เข้าไป และออกเป็นบิลเงินสดแทน และอาจทำให้ผู้ซื้อคิดว่า ตนเองได้ประหยัดเงินไป 7% หากไม่ขอใบกำกับภาษี
อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินสดและขอบิลเงินสดนั้น มีข้อเสียก็คือ หากร้านค้าไม่ได้ระบุข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน บริษัทก็จะไม่สามารถนำบิลนั้นมาบันทึกเป็นรายจ่ายทางภาษีให้กับบริษัท ซึ่งบริษัทต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% และไม่สามารถบิลนั้นมาหักภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ได้ เป็นเหตุให้บริษัทต้องเสียภาษีมากกว่าที่ควรจะเป็น
ในขณะที่ถ้านิติบุคคลขอบิลแวท ข้อดีคือเราจะสามารถนำบิลนั้นมาหักเป็นรายจ่ายทางธุรกิจ และรายจ่ายทางภาษี คือ นำรายการนั้นมาลงในรายการภาษีซื้อ ภาษีขาย และขอคืนภาษีซื้อได้ 7% อีกทั้งยังนำใบกำกับภาษีมาบันทึกเป็นรายจ่ายทางภาษีในการช่วยหักภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องเสีย 20% อีกด้วย
นอกจากนี้ หากเป็นร้านค้าที่ไม่มีสิทธิ์ออกบิลแวท แต่ทำการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ถือว่าผิดกฎหมาย เช่นเดียวกันกับร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่มีการคิด Vat สินค้า และออกบิลเป็นบิลเงินสดแทน ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน