ภาษีเป็นภาระหน้าที่สำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จำเป็นต้องจัดทำรายงานส่งกรมสรรพากรทุกเดือนอย่างถูกต้องและตรงเวลา มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการถูกปรับโทษตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายรายมักมองว่า "ภาษีซื้อ-ภาษีขาย" เป็นเรื่องของฝ่ายบัญชีเพียงอย่างเดียว หรือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไปที่จะเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มนี้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนควรมีความเข้าใจ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงิน ควบคุมต้นทุน และหลีกเลี่ยงปัญหาทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ ภาษีซื้อ ภาษีขาย และ การยื่น ภ.พ.30 อย่างละเอียด ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน วิธีการคำนวณ ไปจนถึงข้อปฏิบัติที่ควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ
ภาษีซื้อ ภาษีขาย คืออะไร
ภาษีซื้อ (Input Tax) คือ
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องมาจากการที่เราได้ไปซื้อสินค้าหรือบริการ และทางบัญชีจะต้องมีหน้าที่บันทึกรายละเอียดภาษีซื้อ จัดทำเป็นรายงานภาษีซื้อและส่งให้กรมสรรพากร โดยมีข้อความ รายการ รูปแบบตามที่กรมสรรพากรกำหนด
ทั้งนี้ ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนใด จะต้องมีการบันทึกเป็นรายงานในเดือนนั้น ตามวันที่อยู่ในใบกำกับภาษี หากไม่ได้นำไปลงภาษีในเดือนนั้น เราสามารถนำไปลงในรายการภาษีซื้อหลังจากนั้นได้แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ภาษีขาย (Output Tax) คือ
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องมาจากการที่เราได้ขายสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มนี้จะคิดในอัตรา 7% ซึ่งทางบัญชีมีหน้าที่จะต้องจัดทำรายงานภาษีขายส่งสรรพากร ด้วยการบันทึกภาษีขายตามรายการและรูปแบบที่สรรพากรกำหนดเอาไว้
ภาษีขายที่เกิดขึ้นในเดือนใด จะต้องลงรายงานบันทึกภาษีขายในเดือนนั้น ตามวันที่อยู่ในใบกำกับภาษีที่ออกให้ลูกค้า
วิธีการคำนวณภาษีซื้อ ภาษีขาย
การคำนวณภาษีซื้อ ภาษีขาย จะทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสีย โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ คือ
ภาษีขาย - ภาษีซื้อ = ภาษีที่ต้องเสีย
- หากพบว่า ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการจะต้องชำระภาษีที่เป็นส่วนต่างเพิ่ม
- หากพบว่า ภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการมีสิทธิ์ขอคืนส่วนต่างเป็นเงินสดหรือยกเครดิตไปใช้ในเดือนถัดไป
ตัวอย่างการคำนวณ ภาษีซื้อภาษีขาย
บริษัทอุดมเอก อิเล็กทริกส์ ขายเครื่องซักผ้า 1 เครื่อง มีวิธีการคิดภาษีดังนี้
ซื้อสินค้าเข้ามา (ภาษีซื้อ) = 100,000 x VAT 7% = 7,000
ขายสินค้าออกไป (ภาษีขาย) = 200,000 x VAT 7% = 14,000
ส่วนต่างภาษีมูลค่าเพิ่ม = 14,000-7,000 = 7,000 บาท
ในกรณีนี้ จะเห็นว่าภาษีขายของบริษัทอุดมเอก อิเล็กทริกส์ เยอะกว่าภาษีซื้อ ดังนั้นทางบริษัทจึงจำเป็นต้องชำระภาษีเพิ่มให้กับกรมสรรพากร = 7,000 บาท
รายการที่นำมาลงได้ในภาษีซื้อ
รายการที่สามารถนำมาลงในภาษีซื้อได้นั้น ต้องเป็นรายการที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ และที่สำคัญคือต้องมีใบกำกับภาษี หรือใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ ใบเสร็จรับเงินตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น โดยภาษีซื้อที่ห้ามลงในรายการได้ คือ
- ภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษี : ทั้งแบบที่ไม่มีใบกำกับภาษี หรือเคยมีใบกำกับภาษีแต่สูญหาย
- ภาษีซื้อที่มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป แต่มีข้อความที่ไม่สมบูรณ์
- ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
- ภาษีสำหรับค่ารับรองตามมาตรา 65 ตรี (4) เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าดูมหรสพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการกีฬา อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม แต่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายได้
- ภาษีซื้อจากใบกำกับภาษี แต่ผู้ออกใบกำกับภาษีไม่มีสิทธิ์ออกตามกฎหมาย
ใครที่ต้องทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย
คนที่มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขายนั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผู้ที่จะจด VAT ได้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ธุรกิจมีรายรับมากกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี
- กรณีที่เพิ่งเริ่มกิจการ แต่มีการซื้อสินค้าและบริการตลอดเวลา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่กำลังก่อสร้างหรือติดตั้งเครื่องจักร ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอจด VAT ได้ภายใน 6 เดือน ก่อนเริ่มทำธุรกิจ
ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
ภ.พ.30 เอกสารที่ใช้สำหรับยื่น ภาษีซื้อ ภาษีขาย
เอกสารที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษีซื้อ ภาษีขายคือ ภ.พ.30 ซึ่งเป็นแบบรายการแสดงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ที่ผู้ประกอบการต้องรวบรวมรายการ VAT ที่เกิดขึ้นในเดือนนั้น นำมาจัดทำเป็นรายงานและส่งให้กรมสรรพากร โดยที่ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 พร้อมชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากวันที่ 15 ตรงกับวันหยุดสามารถยื่นในวันทำการถัดไปได้โดยไม่เสียค่าปรับ แต่หากมีการยื่นแบบ ภ.พ.30 บนอินเทอร์เน็ต สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 23 ของเดือนถัดไป แต่หากไม่มั่นใจว่าจะต้องยื่นวันไหน สามารถดูปฏิทินการยื่นภาษีได้ที่นี่
การยื่นเอการ ภ.พ.30 สามารถยื่นได้ผ่านระบบ E-Filing ของกรมสรรพากร หรือท่านสามารถนำไปยื่นที่กรมสรรพากรในพื้นที่ได้เช่นกัน
คำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับภาษีซื้อ ภาษีขาย
Q : จัดทำรายงาน ภ.พ.30 แล้ว เอกสารที่ได้มาทำอย่างไร
A: เอกสารที่ได้มาไม่ว่าจะเป็นใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการจะต้องเก็บเอาไว้เพื่อตรวจสอบ หากมีการเรียกดูจากกรมสรรพากร จะต้องมีเอกสารให้พนักงานดูได้
Q : เวลาส่ง ภ.พ.30 ต้องส่งเอกสารอะไรบ้าง
A: หากผู้ประกอบการจัดทำ ภ.พ.30 เสร็จแล้ว สามารถส่งแค่ใบ ภ.พ.30 ให้สรรพากรได้เลย ไม่ต้องส่งเอกสารอย่างอื่น
Q : จด VAT แล้ว กิจการไม่มีกำไร ไม่ส่งภาษีซื้อ ภาษีขายได้ไหม
A: แม้ว่าผู้ประกอบการจะจด VAT แล้ว จะต้องมีการทำรายงาน ภ.พ.30 และส่งเอกสารให้สรรพากรทุกเดือน แม้ว่ากิจการจะมีกำไร ขาดทุน หรือต่อให้เดือนนั้นไม่มียอดซื้อหรือยอดขายเข้ามาเลยก็ตาม หากไม่มีการส่งแบบจะมีบทลงโทษคือ ปรับเงิน 2 เท่าจากเบี้ยปรับ และปรับเงินเพิ่ม จำนวน 1.5% ต่อเดือน
Q : หากมีหลายสาขา จะต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 อย่างไร
A: หากผู้ประกอบการมีหลายสาขา สามาถแยกยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีเป็นรายสถานประกอบการได้เลย ยกเว้นแต่มีการยื่นคำร้องขออนุมัติยื่นแบบแสดงรายการภาษีชำระภาษีรวมกัน ณ สรรพากรท้องที่ และได้รับอนุมัติจากอธิบดีแล้ว
ติดตามเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ eTax ได้ที่
Blog: www.etaxgo.com/blog
Facebook: https://www.facebook.com/eTaxGo.official